เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2564 CASPIM ได้เข้าสัมภาษณ์ คุณสุนทร ตะนาวศรี นักวิชาการส่งเสริมการเกษตรชำนาญการ เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่องานวิจัยในประเด็นการส่งออกผลไม้ไทยสู่ตลาดจีน
ลำไยเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของลำพูน โดยมีพื้นที่ปลูก 351,167 ไร่ ลำไยสายพันธุ์อีดอเป็นลำไยสายพันธุ์หลักที่นิยมปลูกเนื่องจากมีผลใหญ่ เม็ดเล็ด และมีรสชาติที่หวานเป็นที่ต้องการทั้งตลาดในและนอกประเทศ เนื่องจากความต้องการลำไยในท้องตลาดที่มากขึ้นนั้นส่งผลให้เกษตรกรหาวิธีทำให้ลำไยออกลูกได้ตลอดทั้งปี โดยแบ่งเป็นลำไยในฤดู คือช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนกันยายน และนอกฤดูคือช่วงเดือนอื่นๆนอกเหนือจากที่กล่าวมาในข้างต้น ทั้งนี้เพื่อรองรับความต้องการของตลาดจีนที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงเทศกาลตรุษจีน และวันชาติจีน (1 ตุลาคม ของทุกปี)
แม้ลำไยอีดอจะเป็นพันธุ์ที่นิยมปลูกในพื้นที่จังหวัดลำพูน แต่เมืองแห่งลำไยนี้ยังมีลำไยสายพันธุ์อื่นๆ อีก เช่น ลำไยเบี้ยวเขียวลำไยพันธุ์พื้นเมืองที่ถูกขึ้นทะเบียน GI (Geographical Indication: สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์)ในขณะนี้กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในท้องตลาด เนื่องจากมีผลโต เนื้อกรอบและแห้ง ทั้งยังมีรสชาติหวานกลมกล่อม ไม่หวานแหลมเหมือนลำไยอีดอ ปัจจุบันลำไยเบี้ยวเขียวปลูกในพื้นที่ 6 ตำบล ในตัวอำเภอเมือง คือตำบลอุโมงค์ หนองช้างคืน ประตูป่า เหมืองง่า ริมปิง ต้นธง ราคาลำไยเบี้ยวเขียวอยู่ที่ 80 บาทต่อกิโลกรัม หากสวนที่ขึ้นทะเบียน GI แล้วราคาสูงถึง 160 บาทต่อกิโลกรัม แม้ราคาจะสูงและได้รับความนิยมขนาดนี้ทว่าเกษตรกรก็ยังไม่นิยมปลูกมากนัก แต่กำลังเริ่มขยายตัวมากขึ้นในทุกๆ ปี เนื่องจากการส่งเสริมของสำนักงานเกษตรจังหวัด นอกจากลำไยเบี้ยวเขียวแล้ว ลำไยสีทอง ทำจากลำไยอีดออบแห้ง เนื้อสวย สีทองเองก็ได้ขึ้นทะเบียน GI และสามารถต่อยอดสร้างรายได้ให้เกษตรได้เช่นกัน
รูปภาพ: คณะวิจัย
เรียบเรียง: กัญญาพร แปลนสันเทียะ เจ้าหน้าที่ศูนย์อาเซียน-จีนศึกษา